เริ่มจาก Windows Phone คืออะไร
ทำความเข้าใจพื้นฐานการเขียนโปรแกรมบน Windows Phone ในยุคของการแข่งขัน Smartphone อย่างดุเดือดในบรรดา 3 ค่ายที่กำลังแข่งขันกันคือ Android, iOS และ Windows Phone เรียงตามลำดับ อันที่จริง มีเยอะกว่านี้ แต่ตัวอื่น ๆ ได้ตกอันดับและไม่ถือว่าเป็นคู่แข่งอีก สำหรับ Windows Phone เป็น Software ของบริษัท Microsoft เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อประมาณกลางปี 2010 เป็นระบบปฏิบัติการที่ออกแบบมาเพื่อรองรับอุปกรณ์บนมือถือประเภท Smartphone หรือ Tablets
ในปัจจุบัน Windows Phone จะยังใช้อยู่ใน Version 7 โดยใช้รูปแบบของ Metro UI Theme มาจัดการในส่วนของ Interface ระหว่าง Application กับ User ซึ่งจะใช้งานง่าย และสนุกกว่าการใช้ Stylus ในแบบพวก Windows Mobile เช่นกับฟีเจอร์การทำงานของ iOS ของ iPhone , iPad หรือ Android ซึ่งการใช้งานจะคล้าย ๆ กัน คือใช้ระบบสัมผัสด้วยมือ หรือ Slide พวก Swipe ในทิศทางต่าง ๆ
Windows Phone ออกแบบมาให้สามารถใช้ได้กับ Smartphone ในขนาดทั่ว ๆ ไป รวมทั้ง Tablets โดยในมือถือหรือ Smartphone ที่ได้ถูกติดตั้งในปัจจุบันจะเป็นของ Nokia เช่น รุ่น Lumia (มียอดขายกว่า 4 ล้านเครื่อง) และคาดว่าในอนาคตเร็ว ๆ นี้จะได้ใช้กับอุปกรณ์หลาย ๆ รุ่น
และไม่อีกกี่เดือนข้างหน้า Microsoft จะออก Windows Phone เวอร์ชั่น 8 พร้อมกับปล่อย SDK มาเพื่อให้นักพัฒนาทั้งหลาย ได้ดาวน์โหลดมาทดลองกัน และ Windows Phone 8 มีการใช้ Core บางตัวมาจาก Windows 8 ที่อยู่บน PC Desktop เพราะฉะนั้นในบาง Application สามารถนำจาก Application ที่อยู่บน Windows 8 มาใช้กับ Windows Phone 8 โดยอาจจะเปลี่ยนโครงสร้างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
การพัฒนาโปรแกรมบน Windows Phone นั้นถือว่ายังมีน้อยมาก ถ้าเปรียบเทียบกับ Android สาเหตุส่วนหนึ่งคือ ในระบบ Windows เองไม่ใช่ Open Source จึงทำให้ค่ายโทรศัพท์มือถือต่าง ๆ จะเลือกนิยมใช้ Android ที่เป็นของฟรี กันเป็นส่วนมาก และเมื่อมีผู้ใช้น้อย นักเขียนโปรแกรมก็จะน้อยเช่นเดียวกัน สังเกตุได้จาก การค้นหาข้อมูลบน Google แทบจะหายาก หรือ ไม่มี และ Application ที่มีให้เลือกใช้ก็ยังน้อยเช่นเดียวกัน
การพัฒนาหรือเขียนโปรแกรมสำหรับ Windows Phone 7 และ 8 นั้น จะง่ายกกว่าการเขียนบน Android หรือ iOS เพราะถ้าเคยเขียนพวก VB / VB.NET หรือ C# มาแล้วก็จะสามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว พื้นฐานแล้ว Windows Phone พัฒนาด้วย .NET Framework กับ Silverlight ใช้ XAML เป็น UI ในการสร้าง Interface บนหน้าจอ และมี Code Behind ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของ Interface อีกที ปัจจุบันสามารถเขียนได้ 2 ภาษาคือ VB.NET และ C# และ Tools ที่จะสารองรับการเขียนคือ Visual Studio 2010 โดยถ้าจะเขียนแค่ติดตั้ง Visual Studio 2010 และ Windows Phone SDK เท่านั้นก็จะสามารถเขียนได้ทันที
ตามที่ได้เกรนไว้ในย่อหน้าแรก ๆ คือ Windows Phone ยังถือว่าใหม่สำหรับเมืองไทยในด้านของการพัฒนาโปรแกรมบน Windows Phone แต่ปัจจุบัน Microsoft ได้ให้ความสนใจที่จะพัฒนา Windows Phone เป็นอย่างมาก และมีโอากาสที่ Windows Phone จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ Application ที่อาจจะได้รับความนิยมในอนาคตเป็นได้ ส่วนหนึ่งก็คือ คนส่วนมากจะใช้ Windows OS ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว และ Interface ของ Application บางตัวใน Windows Phone เราก็คุ้นเคยดี รวมทั้ง Application อื่น ๆ ที่อาจจะรองรับต่อการทำงานบน Windows ได้ดีกว่า iOS หรือ Android เช่นพวก Document ที่เป็น Microsoft Office ต่าง ๆ และโดยพื้นฐานเอง Micorsoft ก็มีนักพัฒนา Windows อยู่ทั่วโลกมากมาย การเขียนโปรแกรมก็สามารถเรียบรู้และเข้าใจได้โดยไม่ยาก
สำหรับนักพัฒนาโปรแกรมสนใจที่จะหันมาพัฒนาโปรแกรมบน Windows Phone นั้น ไม่จำเป็นจะต้องมีพื้นฐานการเขียนโปรแกรมบน Smarphone อื่น ๆ ก็สามารถที่จะเขียนแอพบน Windows Phone ได้ เพราะแค่มีพื้นฐานการเขียนโปรแกรมพวก ASP, VB, VB.NET หรือ C# และก็พื้นฐาน XML นิดหน่อยก็สามารถต่อยอดได้อย่างไม่ยาก และบนเว็บของ Microsoft เองก็มี Windows Phone Dev Center เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับการพัฒนาโปรแกรมบน Windows Phone ทั้งหมด เช่น SDK Package หรือ Document และตัวอย่าง Application ไว้สำหรับศึกษาอีกมากมาย
ต่อด้วยระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS)
เดิมว่า iPhone OS เริ่มต้นด้วยการเปิดตัวของ iPhone เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2550 ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับสมาร์ทโฟน (Smartphone) ของแอปเปิล โดยเริ่มต้นพัฒนาสำหรับใช้ในโทรศัพท์ iPhone และได้พัฒนาต่อใช้สำหรับ iPot Touch และiPad โดยระบบปฏิบัติการนี้สามารถเชื่อมต่อไปยังแอ็ปสตอร์สำหรับการเข้าถึงถึงแอพพลิเคชั่น(Application) มากกว่า 300,000 ตัว ซึ่งมีการดาวน์โหลดไปมากกว่าห้าพันล้านครั้ง แอปเปิลได้มีการพัฒนาปรับปรุงสำหรับ iPhone, iPad และ iPod Touch ผ่านทางระบบ iTunes คือโปรแกรมฟรี สำหรับ Mac และ PC ใช้ดูหนังฟังเพลงบนคอมพิวเตอร์ รวมทั้งจัดระเบียบและ sync ทุกๆอย่าง และเป็นร้านขายความบันเทิงบนคอมพิวเตอร์, บน iPod touch, iPhone และ iPad ที่มีทุกๆอย่างสำหรับคุณ ในทุกที่และทุกเวลา มีการพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี
เป็นการปล่อย ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) รุ่นที่สอง ที่ใช้ได้กับการเปิดตัวของ iPhone 3G โดยอุปกรณ์ที่ใช้ 1.x จะเลื่อนไปรุ่นนี้ รุ่นของ OS ที่จะแนะนำที่ App Store ทำให้สามารถใช้ได้กับ iPhone และ iPod Touch แต่หลังจากที่มีอัพเกรดครั้งใหญ่ใน ระบบปฏิบัติการไอโอเอส(iOS) 4 Apple ได้ยกเลิก ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) 2 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดย iPhone และ iPod Touch ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) 2 นั้นจะไม่สามารถเข้าไปใช้งาน App Store ได้ ซึ่งสำหรับผู้ที่ใช้ iPod Touch รุ่นเก่าที่ไม่ได้ปรังปรุงระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) 3.0 นั้นจะไม่สามารถใช้งาน App Store ได้
ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) 3.x
ใช้ได้กับ iPhone 3GS มันถูกปล่อยออกเมื่อ 17 มิถุนายน 2552 รุ่นนี้จะเพิ่มคุณสมบัติที่ต้องการมากขึ้น อุปกรณ์ที่ใช้ 2.x ถูกอัพเกรดเป็น ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) 3.xนี้ สำหรับการสนับสนุน ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS)3 ของ Apple นั้นจะสิ้นสุดลงเมื่อถึงปีหน้าที่ ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS)5 ได้ทำการเปิดตัว และเมื่อ ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS)5 ได้ทำการเปิดตัวนั้นก็คงจะเป็นจุดจบของ iPhone และ iPod Touch รุ่นที่ไม่สามารถอัพเกรดเป็น ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS)4 ได้
ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (IOS) 4.x
ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) 4 มีการให้บริการแก่ประชาชนสำหรับ iPhone และ iPod touch เมื่อ 21 มิถุนายน 2554 นี้เป็นครั้งแรก ปล่อย iOS ที่สำคัญที่สนับสนุนสำหรับอุปกรณ์บางอย่าง คือ iPhone 3G และ iPhone 4, 3GS iPhone, iPod และ iPod touch 4 สำหรับ iPad ได้ถูกเพิ่มเข้ามาด้วยการเปิดตัวของ ระบบปฏิบัติการไอโอเอส(IOS) 4.2.1 เมื่อ 22 พฤศจิกายน 2554
ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) 5.x
แอปเปิลประกาศเปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่ ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) 5.0 ขึ้นมา โดยมีฟีเจอร์ใหม่ร่วม 200 รายการ ระบบปฏิบัติการ ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) 5 จะพร้อมให้ดาวน์โหลดไปติดตั้งได้ในช่วงประมาณเดือนกันยายน 2554 อุปกรณ์ที่จะสามารถติดตั้งระบบปฏิบัติการ ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS)เวอร์ชั่น 5 นี้ ได้แก่ iPhone 4 ,iPhone 3GS ,iPad 2 ,iPad, iPod touch 4 ,iPod touch 3 โดยมีความโดดเด่นคือ ระบบ iCloud ซึ่งเป็นระบบซิงก์ข้อมูลอัตโนมัติแบบไร้สายระหว่างอุปกรณ์ต่างๆผ่านศูนย์ข้อมูลของ Apple ซึ่งให้บริการฟรี เช่น iTunes wifi sync ทำการซิงก์ข้อมูลกับโปรแกรม iTunes โดยไม่ต้องต่อสาย และสามารถทำการซิงก์อัตโนมัติขณะไม่ใช้งานเครื่อง , Airplay mirror ส่งภาพจากหน้าจอไปปรากฏบนหน้าจอทีวีใหญ่ผ่านเครื่อง , Apple TV PC free ไม่ต้องต่ออุปกรณ์เข้ากับคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งาน เช่นเมื่อซื้ออุปกรณ์มาใหม่ สามารถเปิดใช้งานได้เลยไม่ต้องต่อเข้าซิงก์กับคอมพิวเตอร์ที่มี iTunes อีก นอกจากนี้ยังสนับสนุนการดาวน์โหลดอัพเดทโปรแกรมและระบบแบบไร้สาย หรือ OTA โดยไม่ต้องต่ออุปกรณ์เข้ากับคอมพิวเตอร์, สนับสนุนการอัพเดทโปรแกรมแบบ Delta update คือการดาวน์โหลดเฉพาะสิ่งที่เปลี่ยนไปจากโปรแกรมเวอร์ชันเดิมโดยไม่ต้องโหลดใหม่หมดทั้งโปรแกรม ช่วยลดระยะเวลาการดาวน์โหลด
ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) 6.x
iOS 6 ได้ประกาศเมื่อ 11 มิถุนายน 2012 ณ ของ Apple WWDC เหตุการณ์ปราศรัย 2012 มีอยู่มากกว่า 200 คุณสมบัติใหม่ใน iOS 6 ได้แก่ หน้าซอฟต์แวร์ทำแผนที่แอปเปิลใหม่ เปิดโดยเปิดนำร่องการจราจรและสะพานลอย, สิริสนับสนุนiPad Generation, 3 กีฬาภาพยนตร์และร้านอาหารของ Facebook บูรณาการ (คล้ายกับTwitte rบูรณาการใน iOS 5) โพสต์โดยตรงไปยัง Facebook, รายชื่อ, ปฏิทิน Apps และชอบและเพลงที่ใช้ร่วมกันภาพ Stream สิ่งอำนวยความสะดวก App โทรศัพท์ใหม่, iCloud แท็บใน Safari , สิ่งอำนวยความสะดวก Accessablity ใหม่
รุ่นล่าสุดคือ iOS 8 ที่มี iCloud และ Touch ID
สุดท้ายที่กำลังมาแรงมากในปัจจุบันคือ Android
บริษัทแอนดรอยด์ ก่อตั้งขึ้นที่พาโลอัลโต รัฐแคลิฟอร์เนีย ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2546 โดยแอนดี รูบิน (ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทแดนเจอร์), ริช ไมเนอร์ (ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไวลด์ไฟร์คอมมูนิเคชัน), นิก เซียส์ (ซึ่งเคยเป็นรองผู้จัดการที่ทีโมบายล์) และ คริส ไวท์ (หัวหน้าฝ่ายออกแบบและการพัฒนาอินเตอร์เฟซ ที่เว็บทีวี) สำหรับการพัฒนานั้น จากคำพูดของรูบิน "โทรศัพท์มือถือที่มีความฉลาดขึ้นและตระหนักถึงสถานที่ของเจ้าของมากขึ้น" จุดประสงค์แรกของบริษัทคือการพัฒนาระบบปฏิบัติการสำหรับกล้องดิจิทัล แต่เมื่อถูกตระหนักว่าไม่ใช่ตลาดที่กว้างพอ และต่อมาได้เบี่ยงเบนความพยายามเพื่อที่จะทำระบบปฏิบัติการสำหรับสมาร์ตโฟน เพื่อแข่งกับซิมเบียน และ วินโดวส์โมเบิล (ในขณะนั้น ไอโฟน ยังไม่ได้วางขาย) แม้จะมีประวัติความสำเร็จของผู้ก่อตั้งและพนักงานของบริษัทในช่วงแรก บริษัทแอนดรอยด์ ได้ดำเนินการอย่างเงียบๆ ให้เห็นเพียงว่าเป็นบริษัทที่ผลิตระบบปฏิบัติการสำหรับโทรศัพท์มือถือ ในปีเดียวกัน รูบิน ไม่มีเงินเหลือแล้ว สตีฟ เพอร์ลแมน เพื่อนสนิทของรูบิน ได้ให้ยืมเงิน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยส่งเงินใส่ในซองมาให้ และ ปฏิเสธที่จะถือหุ้นในบริษัท
กูเกิล ได้ซื้อกิจการบริษัทแอนดรอยด์ ในวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2548 เพื่อให้มาเป็นบริษัทย่อยในเครือของกูเกิล โดยบุคคลสำคัญของบริษัทแอนดรอยด์ ทั้ง รูบิน, ไมเนอร์ และ ไวท์ ยังอยู่กับบริษัทหลังจากถูกซื้อกิจการ มีผู้คนไม่มากที่รู้จักบริษัทแอนดรอยด์ ในช่วงเวลานั้น แต่หลายคนสันนิษฐานว่ากูเกิลกำลังวางแผนที่จะเข้ามาสู่ตลาดโทรศัพท์มือถือจากการซื้อกิจการครั้งนี้ ที่กูเกิล รูบินนำทีมที่จะพัฒนาระบบปฏิบัติการสำหรับโทรศัพท์มือถือซึ่งขับเคลื่อนโดยลินุกซ์ เคอร์เนล ในตลาดมือถือของกูเกิล จะมีสัญญากับผู้ให้บริการเครือข่าย ต่อมากูเกิลได้เริ่มวางแผนในเรื่องของส่วนประกอบฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์ และผู้ให้บริการเครือข่าย
ความตั้งใจของกูเกิล ที่จะเข้าสู่ตลาดเครื่องมือสื่อสาร อย่างโทรศัพท์มือถือได้มาถึงช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2549 ตามรายงานของบีบีซี และ วอลล์สตรีตเจอร์นัล ได้ตั้งข้อสังเกตว่า กูเกิลพยายามที่จะผลิตโทรศัพท์มือถือที่ใช้สำหรับค้นหา และ ใช้โปรแกรมประยุกต์ หรือ แอปพลิเคชันได้ และกูเกิลได้ทำงานอย่างหนักเพื่อสิ่งนี้ และมีข่าวลือว่า กูเกิลจะพัฒนาโทรศัพท์มือถือภายใต้ชื่อสินค้าของตนเอง บางคนก็สันนิษฐานว่ากูเกิลจะกำหนดคุณสมบัติต่างๆ ของโทรศัพท์มือถือ และส่งให้กับผู้ผลิต และ ผู้ให้บริการเครือข่าย ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2550 อินฟอร์เมชันวีก (InformationWeek) ร่วมมือกับ เอแวลูเซิร์ฟ (Evalueserve) เพื่อที่จะศึกษารายงานของกูเกิลในการยื่นสิทธิบัตรเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือ
ในวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 โอเพนแฮนด์เซตอัลไลแอนซ์ ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรในด้านเทคโนโลยี ซึ่งรวมไปด้วยกูเกิล กับผู้ผลิตอุปกรณ์เช่น เอชทีซี, โซนี่ และ ซัมซุง รวมไปถึงผู้ให้บริการเครือข่ายเช่น สปรินต์ เน็กเทล และ ทีโมบายล์ และบริษัทผลิตฮาร์ดแวร์เช่น ควอล์คอมม์ และ เท็กซัสอินสตรูเมนส์ ได้เปิดเผยในเป้าหมายเพื่อการพัฒนาโทรศัพท์มือถือที่มีมาตรฐานเปิด ในวันเดียวกัน แอนดรอยด์ได้เปิดตัวสินค้าชิ้นแรก ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโทรศัพท์มือถือ สร้างบนลินุกซ์ เคอร์เนล 2.6 ส่วนโทรศัพท์มือถือเครื่องแรกที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์คือเอชทีซี ดรีม เปิดตัวเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2551
ในปี พ.ศ. 2553 กูเกิลได้เปิดตัว กูเกิล เน็กซัส ซึ่งเป็นซีรีส์หรือตระกูลของอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์โดยไม่ปรับแต่งใดๆ จากผู้ผลิต ซึ่งผลิตโดยผู้ผลิตที่เป็นพาร์ตเนอร์กับกูเกิล โดยเอชทีซี ร่วมมือกับกูเกิล ในการเปิดตัวสมาร์ตโฟนเน็กซัสรุ่นแรก มีชื่อว่า เน็กซัสวัน โดยซีรีส์นี้จะได้รับการอัปเดตรุ่นใหม่ก่อนอุปกรณ์อื่นๆ กูเกิลได้เปิดตัวโทรศัพท์และแท็บเล็ต ซึ่งเป็นรุ่นเรือธงของแอนดรอยด์ โดยจะใช้ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์รุ่นล่าสุดของแอนดรอยด์ ต่อมาในวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2556 แอนดี รูบิน ได้ถูกย้ายจากฝ่ายแอนดรอยด์ ไปยังฝ่ายการผลิตใหม่ของกูเกิล ซึ่งตำแหน่งของรูบิน ถูกแทนที่ด้วยซันดาร์ พิชัย ที่จะทำงานในตำแหน่งหัวหน้าของฝ่ายกูเกิล โครมด้วย ซึ่งเขาเป็นผู้พัฒนาโครมโอเอส
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 แอนดรอยด์ได้ใช้การอัปเดตแบบเรียงตามเลขรุ่น ซึ่งจะมีการปรับปรุงส่วนต่างๆ ของระบบปฏิบัติการ, เพิ่มคุณสมบัติใหม่ และ แก้ไขข้อผิดพลาดในรุ่นก่อนหน้า โดยแต่ละรุ่นจะมีชื่อเฉพาะเรียงตามลำดับตัวอักษรและจะใช้ชื่อจากขนมหวาน เช่น รุ่น 1.5 "คัพเค้ก" 1.6 "โดนัท" รุ่น 4.3 "เจลลีบีน" ต่อมา รุ่น 4.4 "คิทแคท" ซึ่งได้เปิดตัวเมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556
ล่าสุด Android 5.0 Lollipop มาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ที่เรียกว่า “Material Design” ที่จะย้ำเรื่องการใช้งานระบบปฏิบัติการเดียวบนทุกขนาดหน้าจอ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต นาฬิกา ทีวี จนรวมไปถึงรถยนต์ และยังมีส่วนอื่นๆ ที่ปรับปรุงเพิ่มเติม อย่างเช่น การปรับปรุงให้รองรับการประมวลผลแบบ 64 บิต การแจ้งเตือนแบบใหม่ และ Project Volta ที่ช่วยให้อุปกรณ์ประหยัดพลังงานมากขึ้นกว่าเดิม เป็นต้น
จุดแข็งเหนือคู่แข่งของระบบปฎิบัติการ Android
1. ความหลากหลายของอุปกรณ์ด้วยความหลากหลายของบริษัท ที่ได้ผลิตสมาร์ทโฟนออกมาจำหน่าย อาทิเช่น Samsung, HTC, Sony, Motorola, LG, Huawei, ZTE และค่ายอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้คุณสามารถเลือกซื้อสมาร์ทโฟน Android ได้ตามใจชอบ ตรงตามความต้องการของคุณ ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอขนาดใหญ่, หน่วยประมวลผล Dual-core หรือใส่ได้ 2 ซิม เป็นต้น พูดง่ายๆ คือ Android มีตัวเลือกอุปกรณ์ที่เยอะกว่า iOS นั่นเอง
2. อุปกรณ์บน Android มีหลากหลายราคาให้เลือก
อุปกรณ์บนระบบปฏิบัติการ Android นั้นมีหลากหลายดีไซน์ และสเปคที่แตกต่างออกไป เหมาะกับกำลังทรัพย์ของทุกคน ซึ่งราคาของ Android นั้นไม่ค่อยแตกต่างกับฟีเจอร์โฟนในสมัยก่อนเท่าไหร่นัก ในทางกลับกัน iPhone และ iPad อาจจะมีราคาที่สูงเกินไปสำหรับบางคน สรุปคือถ้าคุณต้องการใช้สมาร์ทโฟนในราคาประหยัด Android เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันในตลาดมือถือ มีหลากหลายสเปค ให้เลือกใช้ด้วยกัน
3. การปรับแต่งที่ไม่สิ้นสุด
การปรับแต่ง นับว่าเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของ Android คุณสามารถเปลี่ยนภาพพื้นหลังให้เคลื่อนไหวได้, เลือกใช้คีย์บอร์ด หรือการติดตั้ง ROM ปรับแต่งตัวอื่นๆ ซึ่งตรงจุดนี้ iPhone ไม่สามารถทำได้ เพราะทาง Apple ต้องการที่จะทำให้ซอฟต์แวร์ทำงานกับฮาร์ดแวร์อย่างเสถียรที่สุด .. ถ้าใครชอบปรับแต่งเครื่อง แนะนำ Android จะดีกว่า เพราะสามารถปรับแต่งได้ตามใจของเราจริงๆ
4. Live Wallpapers
ภาพพื้นหลังแบบเคลื่อนไหว (Live Wallpaper) ที่สามารถตอบโต้กับผู้ใช้ได้ เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่คุณสามารถปรับแต่งได้ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกม, พื้นหลังตามสภาพอากาศ หรือตามเวลา, เข็มทิศบอกทาง และอื่นๆ ให้คุณได้ลองเล่นอีกมากมาย สำหรับใครที่ไม่เคยลองใช้ Live Wallpaper ถ้าลองแล้ว ก็อาจจะเกิดอาการติดใจก็เป็นได้
5. Widgets
Widget เป็นอีกหนึ่งสิ่งแปลกใหม่ ที่ไม่มีบน iOS คุณสามารถดูข้อมูล, ข่าวสาร, Social Network โปรด และอัพเดตอื่นๆ ผ่านหน้าจอหลักของคุณ ซึ่งถ้าคุณนึกภาพ Widget ไม่ออก ให้ลองนึกถึงไอคอน Tiles บน Windows 8 หรือ Windows Phone ที่มีการอัพเดตข้อมูลตลอดเวลานั่นเอง
6. Launchers(หน้าแรกของหน้าจอตอนเราเข้ามือถือ) มีให้เลือกหลากหลายแบบ
Launchers เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่จะทำให้สมาร์ทโฟนของคุณไม่เหมือนใคร โดย Launchers สามารถปรับแต่งหน้าตาผู้ใช้ได้มากมาย เช่น จำนวนหน้า Homescreen, ภาพเคลื่อนไหวขณะเปลี่ยนหน้า, เพิ่มลูกเล่นในการกดไอคอน, เปลี่ยนรูปไอคอน และสามารถเปลี่ยนลูกเล่นอื่นๆ ได้อีกมากมาย
7. ROM ปรับแต่ง และเฟิร์มแวร์
สำหรับคนที่ใช้ Android คุณสามารถลง ROM อื่นๆ ที่ไม่ใช่ ROM จากค่ายมือถือของคุณ และผู้ใช้ Android ส่วนใหญ่ก็ไม่ชอบที่จะรอ ROM ศูนย์ ด้วยเหตุผลที่ว่า ROM ศูนย์มีการอัพเดตที่ช้า และบางทีก็ไม่เสถียรด้วยครับ ผู้ใช้จึงหันไปเล่น ROM อื่นๆ กัน ซึ่งแน่นอนสมาร์ทโฟนของคุณจะเร็ว และแรงกว่าเดิม นอกจากนี้คุณยังได้รับประโยชน์จาก ROM ปรับแต่งอีกมากมาย เช่น แบตเตอรี่อึดขึ้น, ปรับแต่งเครื่องได้อย่างอิสระ, แบ็คอัพข้อมูลได้ง่ายขึ้น และประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย
8. Google Services
อุปกรณ์ Android นั้นสามารถรวมเข้ากับบริการของ Google ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น Google Docs, Gmail, Google Drive, Google Maps Google Music, Google+ หรือแม้แต่ Google Chrome แค่นี้ยังไม่หมดนะ ยังมีบริการจาก Google อีกเยอะ ที่ Apple ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ ยกตัวอย่างเช่น Apple Maps ที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า .. อย่างน้อยๆ Android ก็สามารถใช้บริการของ Google ได้อย่างเต็มรูปแบบ
9. Google Now บริการคนหาด้วยเสียง
Google Now เป็นบริการใหม่ล่าสุด ซึ่งเจ้า Google Now เป็นการค้นหาด้วยเสียง ที่มีประสิทธิภาพมากกว่า Siri จากฝั่ง Apple นอกจากนี้ Google Now ยังสามารถค้นหาสิ่งที่คุณต้องการหา ได้ตรงความต้องการ โดย Google Now จะพยายามเดาข้อมูลที่ผู้ใช้สมาร์ทโฟนต้องการ หลังจากนั้นจะนำเสนอข้อมูลสั้นๆ ในรูปแบบหน้าตาผู้ใช้งานแบบใหม่ที่เรียกว่า Card นั่นเอง
10. แอพพลิเคชั่นฟรี มีให้เลือกมากกว่า
ปัจจุบันในตลาดแอพของ Android นั้นมีปริมาณแอพที่มากกว่า iOS บางแอพก็เสียตังใน iOS แต่ฟรีใน Android ก็มีเยอะ แต่ในทางกลับกันก็มีหลายแอพที่เริ่มพัฒนาบน iOS ก่อนที่จะ Port มาลงบน Android เหตุผลก็เพราะว่า การพัฒนาบน iOS นั้นมีประสิทธิภาพมากกว่า แถมยังมีคนซื้อแอพบน iOS มากกว่าบน Android อีกด้วย
บทสรุปเปิดบ้าน ทำความรู้จัก Android , iOS และ WindowsPhone
จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า Android เป็นระบบปฎิบัติการที่มาแรงและน่าใช้มากที่สุดในขณะนี้เลยทีเดียว เนื่องจากเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาข้างต้น รองลงมาคือ iOS เป็นระบบที่มีหน้าตาที่เรียบง่าย แต่การใช้งานจริงต้องเรียนรู้มากพอสมควรกว่าจะใช้งานได้คล่อง โปรแกรมเสริมที่ยังมีให้เลือกได้ไม่มากเท่ากับค่ายAndroid สุดท้ายคือระบบ WindowsPhone จากค่ายไมโครซอฟท์ อาจเป็นเพราะยังใหม่ที่สุด โปรแกรมต่างๆ ที่รองรับมีน้อยมาก ก็ขอเอาใจช่วยให้พัฒนากันต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น